นักวิชาการ แนะ 5 ข้อดูแลเศรษฐกิจ รัฐบาลใหม่แก้ปากท้อง-เพิ่มรายได้ประชาชน

“นักวิชาการนิด้า” ชี้เศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าคาด หลังภาคการส่งออกจ่อติดลบ2% เศรษฐกิจโลกผันผวน แนะรัฐบาลใหม่ เดินหน้า 5 ข้อสร้างความเชื่อมั่น – สร้างรายได้ประชาชน เปิดเวทีการค้า เร่งทำ FTA ดูแลเสถียรภาพการเงิน – อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับที่เหมาะสม

นายมนตรี โสคติยานุรักษ์  ผู้อำนวยการหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวถึงนโยบายสำคัญที่รัฐบาลใหม่จะเข้ามาบริหารประเทศหลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค.ผ่านไปพรรคการเมืองต่างๆ อยู่ระหว่างการจัดตั้งรัฐบาลนำโดยพรรคก้าวไกลที่ชนะการเลือกตั้งได้คะแนนเสียงอันดับ 1 ได้สิทธิ์ในการจัดตั้งรัฐบาล

ทั้งนี้แม้จะมีประเด็นทางการเมืองและกฎหมายหลายฉบับที่พรรคก้าวไกลและพรรคร่วมเสนอให้มีการแก้ไข แต่ตนมองว่าเรื่องจำเป็นในการเดินหน้าของรัฐบาลชุดใหม่คือเรื่องของเศรษฐกิจ และเรื่องปากท้องของประชาชนที่ถือเป็นความเป็นเร่งด่วนที่จะต้องมีชุดนโยบายออกมาอย่างเป็นรูปธรรม

โดยสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 ปีนี้ขยายตัวได้ 2.7% แต่ยังถือว่าต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในอาเซียน ขณะที่การคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ประมาณ 3.2% อาจจะขยายตัวได้ไม่ถึงโดยอาจจะขยายตัวได้แค่ 2-5 – 3% เท่านั้น

เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกในปีนี้มีความไม่แน่นอนสูงอาจจะกระทบกับภาคการส่งออกของไทยให้หดตัวได้ประมาณ 2% ซึ่งภาคการส่งออกจะไม่ใช่ภาคที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้มากนักในทางตรงกันข้ามจะเป็นตัวฉุดให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่ำกว่าเป้าหมาย

นอกจากนี้สถานการณ์ดอกเบี้ยหลายประเทศนำโดยสหรัฐฯยังทรงตัวในระดับสูง เนื่องจากยังไม่สามารถที่จะกดให้เงินเฟ้อลดลงได้ ล่าสุดธนาคารกลางของญี่ปุ่นก็เป็นอีกประเทศที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่สูงยังถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการผันผวนของเศรษฐกิจโลก

ในส่วนของเศรษฐกิจภายในประเทศของไทยยังขาดแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอีกหลายส่วน แม้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้โดยคาดว่าในปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามายังประเทศไทยประมาณ 25 – 26 ล้านคน แต่ในส่วนที่จะชะลอตัวลงก็คือในส่วนของการใช้จ่ายของประชาชนเนื่องจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนยังสูงในระดับ 87% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)  ส่วนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐจะมีอุปสรรคจากการจัดทำพ.ร.บ.รายจ่ายที่ล่าช้า ส่วนภาคเอกชนที่กำลังตัดสินใจจะลงทุนก็จะชะลอการลงทุนออกไปเพื่อรอความชัดเจนจากนโยบายของรัฐบาลใหม่

“ช่วงเวลาตั้งแต่ยุบสภาฯมาจนถึงจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ถือว่า เป็นช่วงสุญญากาศทางการเมืองซึ่งมีระยะเวลาประมาณ  5 เดือน ซึ่งในช่วงนี้การขับเคลื่นเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงไป ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลใหม่เข้ามาต้องรีบเข้ามาออกนโนบายทางด้านเศรษฐกิจเพื่อดูแลปากท้องของประชาชน และหากทางผลักดันการลงทุนที่ชะลอลงไปในช่วงที่ผ่านมาให้เม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็วที่สุด”นายมนตรี กล่าว